หน้าแรก   เกี่ยวกับเรา    บทความ    เว็บบอร์ด    รวมรูปภาพ   การสั่งซื้อ และการชำระเงิน   การจัดส่ง    ติดต่อเรา 

เมนู

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 10/02/2010
ปรับปรุง 22/11/2022
สถิติผู้เข้าชม 12,925,702
Page Views 17,251,715
สินค้าทั้งหมด 768
 

หมวดหมู่สินค้า

 
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
ค้นหา

ราคา :

หมวดหมู่ :

ยี่ห้อ :

รุ่น :


 

ประเภทสินค้า

 

เอาบทความดีๆมาให้อ่านกันค่ะ "วันฟ้าหม่น"

(อ่าน 647/ ตอบ 0)

Nan (Member)

NU B Regular Member

อ่านแล้วรู้สึกชอบมาก และอยากให้ทุกๆคนได้อ่านกัน
เพระสุขที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้อยู๋ที่ใคร มันอยู๋ที่ตัวเราเอง ลองอ่านกันดู ^_^

******************


เพื่อนๆหลายๆคนคงเคยพบหรืออาจจะกำลังประสบกับเหตุการณ์ที่ผมขอเรียกว่า 


"วันฟ้าหม่น"


วันฟ้าหม่นเป็นวันที่เรามองไปทางใหนก็รู้สึกเศร้าหมอง ท้องฟ้ามันอึมครึม ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น

คนเราส่วนใหญ่ชอบวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส มันทำให้เรารู้สึกดี สดชื่นและมีพลัง


เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา ย่อมมีทั้งวันที่สดใสและวันที่หม่นหมอง

โดยเฉพาะสำหรับเราๆวัยทำงาน เหตุการณ์หลายๆอย่าง สามารถเป็นวันฟ้าหม่นของเราได้เสมอ


"เมื่อไรฉันจะเรียนจบซักที นี่ก็ปีที่ 5 แล้วนะ"

"เมื่อไรฉันจะได้งานซักที เตะฝุ่นมานานจนเงินจะหมดแล้วนะ"

"เบื่อเจ้านายจัง สั่งงานอยู่ได้ ทำไมเพื่อนฉันนั่งเล่นเฟสบุ๊คทั้งวันไม่เห็นจะโดนสั่งเลย"

"อิจฉาเพื่อนจัง เงินเดือนเยอะกว่าเราตั้งเยอะ ทำไมเราได้แค่นี้เอง งานก็หนักกว่า"

"ทำไมฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่งซักที"

"ทำไมฉันไม่มีบ้าน มีรถ มีคอนโดหรูๆ อย่างใครๆเขาบ้าง"


ผมเองก็เช่นกัน เคยมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เรียกได้ว่า "วันฟ้าหม่น"

มองอะไรไปก็รู้สึกแย่ไปหมด อึมครึม ไม่สดใส ไม่อยากทำอะไร ท้อแท้มาก

โดยช่วงชีวิตตอนนั้นของผม ผมได้เคยเล่าไปบ้างแล้วในกระทู้ก่อนหน้านี้เมื่อสองสามเดือนก่อน


เพื่อนๆส่วนใหญ่ๆของผม เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างดี บางคนมีรถราคาแพงกว่าบ้านผมเสียอีก

บางคนสามารถใช้จ่ายเงินที่ผมสามารถใช้ได้เป็นเดือนๆภายในหนึ่งวัน

บางคนมีครอบครัวที่อบอุ่นอย่างที่ผมเคยฝันหามาตลอดทั้งชีวิต


ผมเคยคิดถึงเรื่องเหล่านั้นเสียจนเป็นโรคที่หมอเขียนในใบตรวจว่า

"Anxiety of Depress" หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า "โรคซึมเศร้า"

ผมใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นนานหลายปี ก่อนจะพบว่าผมเองนี่แหละที่ทำให้ตัวเองต้องอยู่ใน "วันฟ้าหม่น"


คำถามที่สำคัญของเรื่องที่เล่ามาคือ 

"ผมทำตัวเองได้อย่างไร" และ "ผมหลุดพ้นมาได้อย่างไร"

นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง


ผมทำตัวเองได้อย่างไร


ในช่วงชีวิตวัยเด็กของผม เป็นช่วงชีวิตที่สุขสบายเป็นอย่างมาก


ผมเคยไปสิงค์โปร์กับคุณแม่ และกลับมาพร้อมกับของเล่นมูลค่าเก้าหมื่นกว่าบาท

ผมเคยเดินทางต่างประเทศจนพาสปอร์ตเล่มแรกในชีวิต เต็มภายในสิบเอ็ดเดือน

ผมมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องแรกตั้งแต่อายุเพียงสิบสองปี ด้วยราคาสูงถึงห้าหมื่นบาท

ผมอยากได้อะไร ก็มักจะได้เสมอ ไม่ว่ามันจะแพงหรือหายากเพียงใด


สิ่งต่างๆเหล่านั้นในวัยเด็ก ได้กัดกินจิตใจอันอ่อนแอในวัยเยาว์ของผมลงไปทีละน้อย

จนทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีความเข้มแข็งทางจิตใจต่ำเป็นอย่างมาก


จนวันหนึ่งในช่วงปี 2540 ที่หลายๆคนรู้กันดีกว่าเป็นปีแห่ง "วิกฤติต้มยำกุ้ง"

สภาพครอบครัวของผมเปลี่ยนไปในเพียงเวลาหนึ่งสัปดาห์

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยทำได้และได้ทำ ไม่สามารถทำได้และได้ทำอีกต่อไป

แต่ผมไม่สามารถรับสภาพกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ จิตใจของผมอ่อนแอ

ผมเองไม่สามารถที่จะโทษสภาพแวดล้อมหรือบุคคลอื่นได้ นอกเสียจากตัวเองเท่านั้น


ช่วงชีวิตหลังจากนั้นของผม ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพยายามทำให้ตัวเองมีชีวิตแบบเติม

ชีิวิตแบบนั้นเป็นชีวิตที่เกินพอดีสำหรับผมในขณะนั้น จนมันทำให้ผมเกิดความอิจฉาหลายๆอย่าง

ความอิจฉาได้นำมาซึ่งความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของตนเอง

จนสุดท้ายผมได้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และทุกๆวันของผมก็กลายเป็น "วันฟ้าหม่น"


ผมหลุดพ้นมาได้อย่างไร


วันหนึ่งที่ผมหลุดพ้นมา เพราะผมได้พบบุคคลหนึ่งที่เป็นครูแห่งชีวิต

ผมได้พบกับท่านเพราะผมติด F วิชาของอาจารย์เขา 

อาจารย์เสนอให้ผมเป็น TA ในเทอมถัดไป เพื่อแลกกับโอกาสการแก้ตัวสำหรับ F ดังกล่าว

ตลอดเวลา 4 เดือนในเทอมสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของผม ผมได้เรียนรู้อะไรจากท่านเยอะมาก


อาจารย์ท่านนี้บวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 8 ขวบ

ท่านลาสิกขาจากการครองเพศบรรพชิตเมื่ออายุได้ 27 ปี

หลังจากนั้นท่านได้ใช้เวลาต่อจากนั้นในการเป็นอาจารย์

ท่านสอนผมและลูกศิษย์ทุกคนทั้งวิชาชีวิตและวิชาชีพ

ท่านใช้ชีวิตทั้ง 7 วันในแต่ละสัปดาห์ในการสอนหนังสือ

ท่านไม่แต่งงานโดยให้เหตุผลว่าท่านมีลูกศิษย์เยอะขนาดนี้ก็ปวดหัวแล้ว

และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากอาจารย์ท่านนี้


ความพอดี


วันหนึ่งก่อนที่ผมจะจบการศึกษา ผมเซ็นสัญญาทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง

โดยได้รับเงินเดือนสูงมากกว่าที่ผมหวังไว้เป็นจำนวนถึง 25000 บาท

วันจันทร์ถัดไปผมกลับไปช่วยงานอาจารย์พร้อมกับแจ้งข่าวดีนี้ให้กับท่าน

ท่านบอกกับผมว่าท่านทำงานมา 15 ปี ได้เงินเดือนอยู่ที่ 19750 บาท 

พร้อมกับบอกผมว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด


นั่นคือครั้งแรกที่ผมแปลกใจมากเพราะผมคิดว่าท่านจะได้รับเงินเดือนมากกว่านั้น

เพราะในทุกๆวันที่ผมช่วยงานอาจารย์ ท่านจะเลี้ยงข้าวกลางวันและเย็นผม

เพราะท่านรู้ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวผมในตอนนั้นไม่ดีเอามากๆ

นอกจากผมแล้ว นิสิตคนอื่นที่ช่วยงานท่าน ท่านก็ยังเลี้ยงข้าวและขนมเป็นประจำ

หนำซ้ำท่านยังมีคอนโดใกล้ๆมหาวิทยาลัยอีกสองแห่งที่ปล่อยให้นิสิตเช่าในราคาถูก

และท่านยังมีเงินเหลือเก็บในทุกๆเดือน

ถึงแม้ผมจะรู้ว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย มีรายได้ทางอื่นเช่นค่าออกข้อสอบ การตีพิมพ์งานวิจัย ฯลฯ

แต่ผมก็คิดว่าท่านมีเงินเดือนมากกว่านี้


ผมจึงถามอาจารย์ไปว่าแล้วอาจารย์ใช้เงินพอได้อย่างไร

"ชีวิตคนเรามีความพอดีที่ไม่เหมือนกัน คนที่ไม่พอดีให้มีงานการใหญ่โต เงินทองมั่งคั่ง ก็จะไม่รู้สึกมีความสุข แต่คนที่พอดี แม้จะมีน้อยเพียงใด ก็สุขได้เสมอ"


สิ่งนี้เป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ผมหลุดพ้นมาจาก "วันฟ้าหม่น" ได้

ผมใช้เวลาอยู่ซักพักจนหาความพอดีของตัวเองให้เจอ แล้วใช้ชีวิตในแบบนั้น


ทุกวันนี้ผมมีรายรับอยู่เดือนนึงมากกว่าสี่หมื่นบาท

แต่ความพอดีของผมอยู่ที่แปดพันบาท ผมพอดีที่เท่านี้จริงๆ 

เงินที่เหลือผมไม่ได้ทำอะไรกับมัน นอกจากเอาให้คุณพ่อคุณแม่ไปใช้ และเก็บออมไว้


ปัจจุบันผมทำงาน 3 อย่างพร้อมๆกัน ใช้เวลาไปกับการทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง

ผมมีความพอดีกับงาน ผมทำงานไม่มากเกินกว่าที่ตัวเองต้องการ และไม่น้อยจนรู้สึกว่าง

ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการทำงาน แต่ก็ไม่ลืมที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ

สิ่งต่างๆเหล่านั้นคือความพอดีของผม 


แล้วคุณล่ะครับ เจอความพอดีของคุณหรือยัง


ทัศนคติ


การได้ใช้เวลาอยู่ช่วยงานอาจารย์ท่านนี้ ได้ทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปมาก

ก่อนหน้าที่ผมจะได้เจออาจารย์ ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายมากๆ

ผมอยากได้สิ่งที่คนอื่นมี อยากเป็นอย่างที่คนอื่นเป็น อยากทำในสิ่งที่คนอื่นทำ


แต่เหมือนอาจารย์ท่านจะมองออก ท่านพยายามสอนผมอยู่ตลอดเวลา

อาจจะเป็นเพราะท่านเคยบวชเรียนมานาน คำสอนของท่านมักจะสอดแทรกธรรมะเสมอ

ท่านได้เปลี่ยนทัศนคติของผมในการมองสิ่งต่างๆไปอย่างสิ้นเชิง

จนทำให้ผมกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะรอบคอบ


ผมเองเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นพ๊อกเก็ตบุ๊คเชิงปรัชญาของนักเขียนชาวญี่ปุ่น

บทหนึ่งที่น่าสนใจมาก โดยผู้เขียนกล่าวถึงทัศนคติในรูปแบบของสมการเชิงเส้น


"Y = AX + C"


ผมเองก็จำเนื้อหาของบทนั้นได้ไม่ละเอียดนัก แต่เนื้อหาคร่าวๆคือว่าทัศนคติเปรียบเหมือน A

ถ้าหากมันติดลบ มันจะทำให้ค่าของสมการนี้ออกมาต่ำหรือเป็นลบ

แต่ถ้าหากมันเป็นบวก มันจะทำให้ค่าของสมการนี้ออกมาสูงหรือเป็นบวก

ผมชอบวิธีการเปรียบเทียบของผู้เขียนท่านนี้มาก แม้มันอาจจะเข้าใจยากสำหรับผู้อ่านบางท่าน

แต่มันสื่อความหมายได้ชัดเจนมาก


แฟนผมชอบปรึกษาผมอยู่บ่อยๆว่า เขาได้งานเยอะกว่าเพื่อนข้างๆ

เจ้านายของเธอชอบเอางานมาฝากให้เธอช่วยทำให้เป็นประจำ

เค้าเองรู้สึกอึดอัดและรู้สึกถูกเอาเปรียบ ทั้งๆที่ตำแหน่งเดียวกัน แต่งานเยอะกว่าคนอื่น


ผมจึงบอกกับแฟนให้ลองคิดว่า

"เราได้งานเยอะกว่า นั่นคือเราได้ฝึกฝนมากกว่าเขา ในอนาคตเราจะชำนาญมากกว่าเขา และที่สำคัญที่สุด เธอก็เข้างานพร้อมๆเขาและเลิกงานพร้อมๆเขา และได้เงินเดือนเท่าๆกัน เธอไม่ได้โดนเอาเปรียบหรอก ถ้าเธอได้งานแล้วต้องเลิก 5 ทุ่ม ทำวันเสาร์ แถมเงินเดือนน้อยกว่า นั่นแหละเธอถึงจะโดนเอาเปรียบ"

เธอเก็บความคิดนั้นไปลองดูอยู่อาทิตย์นึง แล้วก็มาบอกผมว่าดีเหมือนกันที่คิดแบบนั้น

เพราะมันช่วยให้เธอสบายใจมากขึ้น


แม้ในความเป็นจริงแล้ว เธอยังต้องทำงานมากกว่าเพื่อนหรือไม่ ใช่ เธอยังต้องทำงานมากกว่า

แต่มันจะสำคัญหรือ ถ้าหากทัศนคติช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุขได้


แล้วคุณล่ะครับ ทัศนคติของคุณเป็นอย่างไร


-- ความสุขที่แท้จริง --


ตอนที่ผมเรียนกับอาจารย์ ท่านเคยถามผมว่าคนที่มีไอโฟน มีความสุขหรือไม่

ผมตอบว่าก็น่าจะมีนะครับ ได้มีโทรศัพท์ดีๆใช้ คนรอบกายมองว่ามีฐานะ

แต่อาจารย์ผมตอบว่าผิดถนัด เขาเข้าใจว่าเขามีความสุข แต่เขาไม่มีความสุขหรอก

อาจารย์อธิบายให้ผมฟังโดยยกตัวอย่างชาดกเรื่องหนึ่ง


มีชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตธรรมดาๆ หาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ แต่มีความสุขกับชีวิต

วันหนึ่งมีเศรษฐีเดินทางผ่านมาพบก็เกิดความรู้สึกสงสาร จึงได้ให้เงินทองกับชาวนา

ชาวนารับเงินทองไว้และนำไปเก็บไว้ในบ้าน จนเกิดความทุกข์

เพราะชาวนาหวาดระแวงว่าเพื่อนบ้านจะอิจฉาริษยาและนินทา

ชาวนายังหวาดกลัวโจรที่อาจจะมาปล้นเงินทองดังกล่าและทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ

ด้วยความรู้สึกที่เป็นทุกข์เหล่านั้น ชาวนาจึงนำเงินทองไปคืนเศรษฐีในที่สุด


เช่นเดียวกัน เมื่อเราซื้อหาวัตถุราคาแพงมาใช้และครอบครอง

บางครั้งเราก็เกิดความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะทำหายหรือไม่ 

จะบุบสลายหรือไม่ จะถูกโจรปล้นชิงไปหรือไม่ จะมีใครอิจฉานำไปนินทาหรือไม่

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ควรจะมอบความสุขให้กับเรา กลับนำมาซึ่งความทุกข์ที่เราไม่ต้องการ


ดังเรื่องราวที่กล่าวไปตอนแรก เมื่อก่อนผมเองจะมีความสุขกับวัตถุเสียเป็นส่วนใหญ่

แต่หลังจากการใช้เวลาอยู่กับอาจารย์ผมจึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร


ทุกวันนี้ผมมีความสุขได้เสมอในแต่ละวัน (ด้วยความช่วยเหลือของทัศนคติเช่นกัน)

ผมมีความสุขเมื่อได้เดินทางกลับบ้านด้วย BRT ที่มีอากาศเย็นสบาย และมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ที่นั่ง

ผมมีความสุขเมื่อเจอกับเพื่อนและทานอาหารร่วมกัน สอบถามทุกข์สุขกันและกัน

ผมมีความสุขเมื่อได้ทำงานที่ผมรักและมีความถนัด

ผมมีความสุขเมื่อลุกให้ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุนั่งบนรถเมล์


สำหรับผมแล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ข้างในจิตใจ

มันมาพร้อมกับความรู้สึกดี ที่ไม่มีความทุกข์ตามมาในภายหลัง


แล้วคุณละครับ มีความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร


บทสรุป


ทุกวันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าผมมีความสุขกับชีวิตเป็นส่วนใหญ่ 

และมีจิตใจที่เข้มแข็ง อดทนต่อปัญหาที่ผ่านพบในชีวิตได้

โดยอาศัยความพอดีของตนเอง การมีทัศนคติที่ดี และการรู้จักความสุขที่แท้จริง


ผมเชื่อว่าหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา สามารถใช้สิ่งเหล่านี้นำทางผ่านไปได้


ชีวิตของเราทุกๆคนมีดีกว่าที่เราคิดเยอะ จนหลายๆคนอาจจะลืมไปแล้ว

มีคนอีกหลายๆคนที่ลำบากกว่าเรามาก และก็มีคนอีกหลายๆคนที่สบายกว่าเรา

แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็มีชีวิตของเรา เราเองต่างหากที่มีชีวิตนี้เป็นของเรา

ถ้าหากเราไม่มีความพอดี เราจะไม่มีวันพอ แม้เราจะมีเงินทองทรัพย์สินมากเท่าไร มันก็จะไม่พอ


และเราต้องมีความทัศนคติที่ดีในการมองปัญหาและเหตุการณ์ต่างๆ 

เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีแล้ว หนทางแก้ไขมันย่อมปรากฎขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น

เพราะทัศนคติที่ดีช่วยให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้น 

ความสบายใจจะทำให้เรามองปัญหาได้ดีขึ้น

อันนำมาซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม

ผมอยากให้เพื่อนๆไม่ท้อแท้ อดทน และมีกำลังใจในการก้าวผ่านปัญหาของแต่ละคนไป



นอกจากความพอดีและทัศนคติแล้ว เราเองก็ต้องรู้จักความสุขที่แท้จริง

ความสุขที่แท้จริงเป็นเหมือนการมองสิ่งต่างๆให้ละเอียดลึกลงไปมากกว่าเพียงเปลือก

ดังเช่นทุเรียนที่มีหนามแหลมและมีผลไม่สวยงามน่าดู กลับมีรสชาติหวานมันถูกใจใครหลายๆคน

ถ้าหากเราตัดสินเพียงเปลือกว่ามันน่าจะเป็นความทุกข์ เราคงไม่รู้ถึงความสุขที่อยู่ข้างใน

บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราทำงานเหนื่อยมาก

แต่อย่างน้อยเราก็ยังสามารถรู้สึกมีความสุขได้ เพราะเรามีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งในสังคม

เราไม่ได้เป็นใครที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการ มีคนที่หวังพึ่งเราและเราหวังพึ่งเขา

นั่นคือเรามีคุณค่าในตนเอง ถ้าเรามีคุณค่าในตนเอง ทำไมเราจะไม่มีความสุขล่ะครับ

(แต่ผมเกลียดทุเรียนนะ ฮาาาา)


สุดท้ายนี้ ผมหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆได้บ้าง

ให้เพื่อนๆได้ก้าวข้ามผ่าน "วันฟ้าหม่น" ของแต่ละคนไปได้ ด้วยจิตใจที่มั่นคงเข้มแข็ง

และพร้อมที่จะเผชิญปัญหาใหม่ๆได้อยู่ตลอดเวลา


สวัสดีครับ


"Without bitter, sweet ain't as sweet"

ถ้าหากไม่มีความขม เราคงไม่รู้ถึงคุณค่าของความหวาน

เครดิต







จากคุณ : Zieg-Hart


http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B10767324/B10767324.html


Lock Reply

บทความ

กระต่าย

กระรอก

แฮมสเตอร์

Cavy Group

ชูก้าไกลเดอร์

Exitic Pet ชนิดอื่นๆ

 

 

ข้อมูลและรูปที่มีอยู่ในเวบไซส์นี้มาจากประสบการณ์การเลี้ยงของทางร้านมีจุดประสงค์เพื่อ
ให้ลูกค้าหรือผู้สนใจเข้ามาอ่านเพื่อเป็นความรู้และแนวทางเท่านั้น
ห้ามลอกเลียนแบบ หรือนำไปอ้างอิงโดยไม่ได้รับอนุญาต
หากสนใจนำข้อความไปใช้ เพียงแจ้งทางเรา และให้เครดิตเวบไซส์ด้วยค่ะ
www.nubpetshop.com

 
  
view